ค่อนข้างแน่นอนแล้วว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศปีนี้จะแตะที่ 26 ล้านคน และตลาดที่มีอัตราการเติบโตสูงสุดก็คงหนีไม่พ้น "เอเชีย" โดยเฉพาะตลาดจีนที่ยังคงขยายตัวในอัตราที่สูงมาก แม้ว่ารัฐบาลจีนจะออกกฎคุมเข้มเพื่อปราบทัวร์ศูนย์เหรียญ แต่ตลาดจีนก็ยังมีแนวโน้มที่ยังเติบโตได้
"ประชาชาติธุรกิจ" ได้สัมภาษณ์พิเศษ "ปิยะมาน เตชะไพบูลย์" ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) ถึงภาพรวมธุรกิจท่องเที่ยวในปัจจุบัน รวมถึงทิศทางในอนาคตไว้ดังนี้
- ประเมินภาพรวมปีนี้อย่างไร
ปีนี้เราคาดการณ์นักท่องเที่ยว 26.27 ล้านคน ซึ่งหากดูตัวเลขในช่วงที่ผ่านมาก็ไม่น่าจะพลาดเป้าทั้งในส่วนที่เป็นตลาดต่างประเทศและตลาดในประเทศ โดยเฉพาะตลาดนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่ยังมีแนวโน้มเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศอย่างต่อเนื่อง และขยายตัวในทุกตลาด แต่ไตรมาส 4 นี้ มองว่ามีความกังวลมากสำหรับตลาดคนไทยเที่ยวในประเทศ เนื่องจากมีสถานการณ์น้ำท่วมในหลายพื้นที่
อย่างไรก็ตาม คาดว่าฤดูท่องเที่ยวที่กำลังจะถึง คือ ในช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคมนี้ น่าจะมีจำนวนคนไทยเที่ยวในประเทศเพิ่มมากขึ้น เพราะทางสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวฯได้ขอภาครัฐให้หยุดวันที่ 30 ธันวาคม ซึ่งรัฐบาลได้ประกาศให้วันที่ 30 ธันวาคมเป็นวันหยุดแล้ว
จากเดิมที่สอบถามนักท่องเที่ยวไปว่าจะมีแผนเดินทางท่องเที่ยวในช่วงปลายปีหรือไม่ เขาบอกว่าเที่ยวถึง 40% แต่ถ้ามีหยุดวันที่ 30 ธันวาคมก็จะเที่ยวเพิ่มขึ้นอีก 19% รวมเป็น 59% ที่นักท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้น บวกกับกิจกรรมต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในช่วงปลายปี อาทิ ลอยกระทง เคานต์ดาวน์ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด ฯลฯ ก็น่าจะสนับสนุนให้คนไทยเดินทางท่องเที่ยวมากขึ้น
- มีปัจจัยอะไรที่ยังน่าเป็นห่วงสำหรับภาคธุรกิจท่องเที่ยวในปลายปีนี้บ้าง
สิ่งที่เราเป็นห่วงมากที่สุดในช่วงนี้ก็คือเรื่องการเมือง การประท้วงที่เกิดขึ้น เพราะทำให้ภาคธุรกิจคาดการณ์ค่อนข้างยาก และการชุมนุมก็ยังมีอยู่ และก็ยังไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร ทำให้เราค่อนข้างกังวลมากสำหรับตลาดในประเทศ ส่วนในเรื่องของเศรษฐกิจเรามองว่าพอรับไหว
ส่วนในตลาดต่างประเทศนั้นส่วนตัวคิดว่าไม่กระทบ เพราะการชุมนุมยังอยู่ในพื้นที่จำกัด และทุกครั้งที่ประกาศภาวะฉุกเฉินก็เป็นที่คุ้นเคยและเข้าใจว่าเหตุการณ์มันอยู่ในเมืองชั้นในเท่านั้น นักท่องเที่ยวเริ่มรับรู้และเข้าใจว่าเราเป็นประเทศประชาธิปไตย ต้องมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น
- เรื่องกฎระเบียบใหม่ของจีนส่งผลกระทบต่อการเดินทางของนักท่องเที่ยวจีนเข้าไทยหรือไม่
ถ้าเป็นตลาดต่างประเทศ มองว่าเรื่องกฎหมายของจีนน่าจะเห็นชัดเจนสุดว่าจะส่งผลกระทบต่อจำนวนนักท่องเที่ยวคนจีนบ้าง แต่ที่ที่ดีประเมินตัวเลขในช่วงต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมาพบว่า ตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางเข้ามาประเทศไทยยังขยายตัวเพิ่มขึ้น 10% เมื่อปีกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ดังนั้น ถามว่าตกไหม ตอบได้เลยว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจีนไม่ได้ตก เพียงแต่ขยายตัวในจำนวนที่ต่ำกว่าช่วง 8-9 เดือนแรกของปีนี้ที่มีอัตราสูงถึง 80-90% และเราก็พบว่าส่วนที่หายไปส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวที่ซื้อแพ็กเกจทัวร์ ตรงกันข้ามนักท่องเที่ยวที่เดินทางด้วยตัวเองหรือเอฟไอทียังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องอยู่เช่นเดิม ดังนั้น ในประเด็นนี้เราจึงต้องมอนิเตอร์ตลอดเวลา
อย่างไรก็ตาม คิดว่าตัวเลขเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคมน่าจะปรับตัวดีขึ้น ส่วนตัวเพิ่งเดินทางไปเชียงใหม่ก็ยังเห็นนักท่องเที่ยวจีนที่เป็นกลุ่มเอฟไอทียังเยอะมาก
- แล้วมองภาพรวมในปีหน้าไว้อย่างไร
ในปีหน้าเราก็ยังเป็นห่วงสำหรับตลาดคนไทย เพราะตลาดคนไทยปกติที่ผ่านมาเราจะขยายตัวประมาณ 4-5% ปีหน้าเราต้องทำให้ได้ถึง 9% เพื่อให้มีรายได้เพิ่มจาก 6.5 แสนล้านในปีนี้เป็น 7 แสนล้านบาทในปีหน้า ซึ่งปีหน้าเราก็จะมีผู้ว่าการการท่องเที่ยวคนใหม่ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในตลาดในประเทศ ก็มีโครงการต่าง ๆ ร่วมกับภาคเอกชน ก็คิดว่าน่าจะมีการเตรียมการตรงนั้นพอสมควร แต่ถามว่าชัดเจนไหมว่าจะถึงเป้าหมายหรือไม่ ยังเป็นสิ่งที่เรากังวลอยู่
สิ่งที่เราขอภาครัฐบาลตลอดเวลาที่พูดไปหลายรอบ คืออยากให้นำค่าใช้จ่ายด้านท่องเที่ยวในประเทศไปใช้ลดหย่อนภาษีเงินได้ ซึ่งตอนนี้เราเสนอให้รัฐบาลไปพิจารณาอีกรอบแล้วเมื่อเดือนที่ผ่านมา โดยเพิ่มจาก 15,000 บาท เป็น 30,000 บาท แล้วก็ขอ 3 ปี ถ้าได้ก็จะน่าจะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ผลักดันให้คนไทยเกิดการท่องเที่ยวในประเทศมากขึ้น เพราะสิ่งที่เรามองและเป็นห่วงคือ ความไม่สมดุลระหว่างตลาดต่างประเทศและในประเทศ
ปัจจุบันเราพึ่งตลาดเมืองต่างประเทศประมาณ 70% ส่วนอีก 30% เป็นตลาดคนไทย ฉะนั้น ถ้าเราทำตรงนี้ตลาดไทยน่าจะมีสัดส่วนมากขึ้นด้วย ที่สำคัญ นอกจากจะเป็นมาตรการจูงใจที่ช่วยให้คนไทยท่องเที่ยวในประเทศมากขึ้นแล้ว ยังสามารถช่วยผู้ประกอบการที่ดำเนินการอย่างถูกต้องด้วย เพราะต้องใช้ใบเสร็จจากโรงแรมที่ถูกต้องตามกฎหมาย หรือถ้าใช้บริษัทนำเที่ยวก็ต้องใช้บริษัทที่ถูกต้องตามกฎหมายด้วย
ส่วนเป้าหมายในปีหน้าที่ตั้งเป้ารายได้จากภาคธุรกิจท่องเที่ยว 2 ล้านล้านบาท ก็คงจะเป็นไปได้สูง ถ้าไม่มีปัญหาทางการเมือง
- มองศักยภาพของธุรกิจท่องเที่ยวไทยในระยะยาวอย่างไร
ยังเชื่อว่าท่องเที่ยวจะยังเป็นภาคธุรกิจที่เติบโตได้ต่อเนื่อง แต่เราต้องมุ่งเน้นด้านการพัฒนาทั้งคุณภาพ ความปลอดภัย
จรรยาบรรณ รวมถึงการพัฒนาโปรดักต์ใหม่ ๆ
ในอนาคตจะมีปัจจัยใหม่เข้ามาเกี่ยวเนื่องมากมาย อาทิ เปิดเออีซี, การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล 2 ล้านล้านบาท โดยเฉพาะเรื่องคอนเน็กติวิตี้ที่จะทำให้การเดินทางท่องเที่ยว และการเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยวเป็นเรื่องที่สะดวกและง่ายขึ้น
ปัจจัยใหม่ ๆ เหล่านี้ทำให้เราตั้งใจว่า เราจะทำยุทธศาสตร์ท่องเที่ยวเอกชน (Map 2020) เพราะคิดว่าภาคเอกชนเองก็ควรมีจุดยืนที่ชัดเจนด้วย ซึ่งเราจะมองยาวถึงปี 2020 ให้แล้วเสร็จก่อนที่ตัวเองจะหมดวาระจากตำแหน่งประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวฯในอีก 1 ปี ก่อนที่พี่จะหมดวาระอีก 1 ปี
และ Map 2020 นี้จะเป็นแผนยุทธศาสตร์หนึ่งของภาคเอกชน ที่ช่วยสนับสนุนนโยบายรัฐบาลให้ภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวบรรลุเป้าหมายได้...
ขอขอบคุณที่มาของข่าว// โดย ประชาชาติธุรกิจ
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1382983327
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น