สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 31 ม.ค. ว่า การสอบสวนเหตุการณ์เครื่องบินโดยสารแอร์เอเชีย อินโดนีเซีย เที่ยวบิน คิวแซด 8501 ตกลงในทะเลชวา ขณะออกเดินทางจากเมือสุราบายาไปยังประเทศสิงคโปร์ เมื่อช่วงเช้าตรู่วันที่ 28 ธ.ค. ที่ผ่านมา ผลการตรวจกล่องดำและกล่องบันทึกเสียงในห้องนักบิน ซึ่งมีการเปิดเผยออกมาเป็นระยะ ล่าสุดระบุว่า ในขณะที่นายเรมี เพลเซล นักบินผู้ช่วยชาวฝรั่งเศส ล้มเหลวที่จะควบคุมเครื่องบิน กัปตันอิริยันโต ชาวอินโดนีเซีย ได้พยายามที่จะแก้ไขสถานการณ์ด้วยวิธีการที่ผิดไปจากขั้นตอนปกติ
เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา สำนักข่าวรอยเตอร์เผยว่า ประเด็นหลักในการสืบสวนครั้งนี้ อยู่ที่สภาพการทำงานของคอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่ควบคุมการบิน (Flight Augmentation Computer: FAC) และวิธีการที่นักบินทั้งสองตอบสนองต่อปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งสำนักข่าวบลูมเบิร์กส์รายงานเพิ่มเติมเมื่อวันศุกร์ว่า ได้มีการดึงเบรกเกอร์เพื่อตัดกระแสไฟฟ้า หลังนักบินพยายามปรับระบบอุปกรณ์ใหม่ แหล่งข่าวที่ใกล้ชิดการสอบสวนซึ่งไม่มีการเปิดเผยชื่อกล่าวว่า มีความเป็นไปได้ว่าผู้ที่ดึงเบรกเกอร์คือกัปตันอิริยันโต ไม่ใช่ผู้ช่วยนักบินที่มีประสบการณ์น้อยกว่า ซึ่งนับเป็นวิธีการที่ผิดปกติ เนื่องจากตามขั้นตอนแล้ว การปรับระบบคอมพิวเตอร์ใหม่สามารถทำได้โดยการกดปุ่มบนแผงควบคุมที่ติดตั้งอยู่เหนือศีรษะ โดยก่อนเกิดเหตุไม่กี่วัน กัปตันอิริยันโตก็เคยประสบปัญหาเดียวกันบนเครื่องบินลำเดียวกันนี้
นักบินเครื่องบินแอร์บัส เอ320 คนหนึ่ง ให้ความเห็นว่า การดึงเบรกเกอร์นับเป็นเรื่องที่ผิดปกติมาก และไม่ควรจะเกิดขึ้นยกเว้นว่าจะอยู่ในสถานการณ์ที่คับขันจริงๆ ซึ่งการจะดึงเบรกเกอร์ได้นั้น นักบินจะต้องลุกจากที่นั่ง เนื่องจากมันติดตั้งอยู่บริเวณแผงควบคุมด้านหลังของผู้ช่วยนักบิน และเป็นเรื่องยากมากที่จะเอื้อมถึงจุดนั้นจากตำแหน่งที่นั่งในฝั่งซ้าย ซึ่งเป็นที่นั่งของกัปตัน เมื่อดูจากแผนผังห้องนักบิน ทั้งนี้ การหยุดทำงานของระบบไฟฟ้า ไม่ได้มีผลโดยตรงที่จะทำให้เครื่องบินตก แต่จะทำให้ระบบควบคุมความปลอดภัยไม่สามารถทำงานได้ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุให้ผู้ช่วยนักบินบังคับเครื่องจนอยู่ในระดับที่อันตรายโดยไม่รู้ตัว
มีข้อสันนิษฐานว่า หลังเกิดความผิดปกติกับคอมพิวเตอร์ ผู้ช่วยนักบินอยู่ในความตระหนกและตัดสินใจเชิดหัวเครื่องบินขึ้น ซึ่งถึงแม้กัปตันจะสามารถเข้ามาควบคุมเครื่องได้ แต่ก็ไม่สามารถนำเครื่องกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้ทัน โดยนายตาตัง กูร์นิอาดี ประธานคณะกรรมาธิการความปลอดภัยด้านการขนส่งแห่งชาติอินโดนีเซีย (เอ็นทีเอสซี) ย้ำว่า หลักฐานแสดงให้เห็นว่า กัปตันกลับเข้าประจำตำแหน่งเพื่อแก้ปัญหาในทันทีโดยไม่รอช้า อย่างไรก็ตาม บริษัทแอร์บัสไม่ได้ออกมาให้ความเห็นต่อเรื่องนี้ เช่นเดียวกับแอร์เอเชียที่ยืนยันว่าจะไม่ให้ความเห็นใดระหว่างที่การสอบสวนยังไม่ลุล่วง
ด้านทนายความของครอบครัวผู้ช่วยนักบินชาวฝรั่งเศส ได้ยื่นฟ้องบริษัทแอร์เอเชียต่อศาลในกรุงปารีส ฐานทำให้ชีวิตผู้อื่นตกอยู่ในอันตราย ด้วยการขึ้นบินในเส้นทางและเวลาดังกล่าวโดยไม่ได้รับอนุญาต แม้ว่าเจ้าหน้าที่สืบสวนจะกล่าวว่า ประเด็นดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นก็ตาม
ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญได้กล่าวเตือนถึงการตั้งสมมติฐานต่างๆ เกี่ยวกับอุบัติเหตุครั้งนี้ หลังมีการเปิดเผยรายละเอียดของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นออกมาเรื่อยๆ เพราะถึงแม้ว่าการพิจารณาแต่ละเหตุการณ์จะเป็นสิ่งสำคัญ แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะอธิบายได้ถึงสาเหตุที่แท้จริง จึงจำเป็นต้องวิเคราะห์ในทุกรายละเอียดอย่างถี่ถ้วน และตอนนี้ยังเร็วเกินไปที่จะมีข้อสรุปใดๆ.
ขอบคุณภาพจาก www.dailymail.co.uk
สำนักข่าวWiFi Phitsanulok
ขอบคุณที่มาของข่าวโดยdailynews.co.th
เวลาโพส2015-01-31 22:58:09
เวลาโพส2015-01-31 22:58:09
เผย'กัปตันคิวแซด8501' กู้วิกฤตด้วยวิธีนอกตำรา
http://www.dailynews.co.th/imagecache/670x490/cover/951342.jpeg
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 31 ม.ค. ว่า การสอบสวนเหตุการณ์เครื่องบินโดยสารแอร์เอเชีย อินโดนีเซีย เที่ยวบิน คิวแซด 8501 ตกลงในทะเลชวา ขณะออกเดินทางจากเมือสุราบายาไปยังประเทศสิงคโปร์ เมื่อช่วงเช้าตรู่วันที่ 28 ธ.ค. ที่ผ่านมา ผลการตรวจกล่องดำและกล่องบันทึกเสียงในห้องนักบิน ซึ่งมีการเปิดเผยออกมาเป็นระยะ ล่าสุดระบุว่า ในขณะที่นายเรมี เพลเซล นักบินผู้ช่วยชาวฝรั่งเศส ล้มเหลวที่จะควบคุมเครื่องบิน กัปตันอิริยันโต ชาวอินโดนีเซีย ได้พยายามที่จะแก้ไขสถานการณ์ด้วยวิธีการที่ผิดไปจากขั้นตอนปกติ
เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา สำนักข่าวรอยเตอร์เผยว่า ประเด็นหลักในการสืบสวนครั้งนี้ อยู่ที่สภาพการทำงานของคอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่ควบคุมการบิน (Flight Augmentation Computer: FAC) และวิธีการที่นักบินทั้งสองตอบสนองต่อปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งสำนักข่าวบลูมเบิร์กส์รายงานเพิ่มเติมเมื่อวันศุกร์ว่า ได้มีการดึงเบรกเกอร์เพื่อตัดกระแสไฟฟ้า หลังนักบินพยายามปรับระบบอุปกรณ์ใหม่ แหล่งข่าวที่ใกล้ชิดการสอบสวนซึ่งไม่มีการเปิดเผยชื่อกล่าวว่า มีความเป็นไปได้ว่าผู้ที่ดึงเบรกเกอร์คือกัปตันอิริยันโต ไม่ใช่ผู้ช่วยนักบินที่มีประสบการณ์น้อยกว่า ซึ่งนับเป็นวิธีการที่ผิดปกติ เนื่องจากตามขั้นตอนแล้ว การปรับระบบคอมพิวเตอร์ใหม่สามารถทำได้โดยการกดปุ่มบนแผงควบคุมที่ติดตั้งอยู่เหนือศีรษะ โดยก่อนเกิดเหตุไม่กี่วัน กัปตันอิริยันโตก็เคยประสบปัญหาเดียวกันบนเครื่องบินลำเดียวกันนี้
นักบินเครื่องบินแอร์บัส เอ320 คนหนึ่ง ให้ความเห็นว่า การดึงเบรกเกอร์นับเป็นเรื่องที่ผิดปกติมาก และไม่ควรจะเกิดขึ้นยกเว้นว่าจะอยู่ในสถานการณ์ที่คับขันจริงๆ ซึ่งการจะดึงเบรกเกอร์ได้นั้น นักบินจะต้องลุกจากที่นั่ง เนื่องจากมันติดตั้งอยู่บริเวณแผงควบคุมด้านหลังของผู้ช่วยนักบิน และเป็นเรื่องยากมากที่จะเอื้อมถึงจุดนั้นจากตำแหน่งที่นั่งในฝั่งซ้าย ซึ่งเป็นที่นั่งของกัปตัน เมื่อดูจากแผนผังห้องนักบิน ทั้งนี้ การหยุดทำงานของระบบไฟฟ้า ไม่ได้มีผลโดยตรงที่จะทำให้เครื่องบินตก แต่จะทำให้ระบบควบคุมความปลอดภัยไม่สามารถทำงานได้ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุให้ผู้ช่วยนักบินบังคับเครื่องจนอยู่ในระดับที่อันตรายโดยไม่รู้ตัว
มีข้อสันนิษฐานว่า หลังเกิดความผิดปกติกับคอมพิวเตอร์ ผู้ช่วยนักบินอยู่ในความตระหนกและตัดสินใจเชิดหัวเครื่องบินขึ้น ซึ่งถึงแม้กัปตันจะสามารถเข้ามาควบคุมเครื่องได้ แต่ก็ไม่สามารถนำเครื่องกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้ทัน โดยนายตาตัง กูร์นิอาดี ประธานคณะกรรมาธิการความปลอดภัยด้านการขนส่งแห่งชาติอินโดนีเซีย (เอ็นทีเอสซี) ย้ำว่า หลักฐานแสดงให้เห็นว่า กัปตันกลับเข้าประจำตำแหน่งเพื่อแก้ปัญหาในทันทีโดยไม่รอช้า อย่างไรก็ตาม บริษัทแอร์บัสไม่ได้ออกมาให้ความเห็นต่อเรื่องนี้ เช่นเดียวกับแอร์เอเชียที่ยืนยันว่าจะไม่ให้ความเห็นใดระหว่างที่การสอบสวนยังไม่ลุล่วง
ด้านทนายความของครอบครัวผู้ช่วยนักบินชาวฝรั่งเศส ได้ยื่นฟ้องบริษัทแอร์เอเชียต่อศาลในกรุงปารีส ฐานทำให้ชีวิตผู้อื่นตกอยู่ในอันตราย ด้วยการขึ้นบินในเส้นทางและเวลาดังกล่าวโดยไม่ได้รับอนุญาต แม้ว่าเจ้าหน้าที่สืบสวนจะกล่าวว่า ประเด็นดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นก็ตาม
ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญได้กล่าวเตือนถึงการตั้งสมมติฐานต่างๆ เกี่ยวกับอุบัติเหตุครั้งนี้ หลังมีการเปิดเผยรายละเอียดของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นออกมาเรื่อยๆ เพราะถึงแม้ว่าการพิจารณาแต่ละเหตุการณ์จะเป็นสิ่งสำคัญ แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะอธิบายได้ถึงสาเหตุที่แท้จริง จึงจำเป็นต้องวิเคราะห์ในทุกรายละเอียดอย่างถี่ถ้วน และตอนนี้ยังเร็วเกินไปที่จะมีข้อสรุปใดๆ.
ขอบคุณภาพจาก www.dailymail.co.uk
สำนักข่าวWiFi Phitsanulok
ขอบคุณที่มาของข่าวโดยdailynews.co.th
เวลาโพส2015-01-31 22:58:09
เวลาโพส2015-01-31 22:58:09
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 31 ม.ค. ว่า การสอบสวนเหตุการณ์เครื่องบินโดยสารแอร์เอเชีย อินโดนีเซีย เที่ยวบิน คิวแซด 8501 ตกลงในทะเลชวา ขณะออกเดินทางจากเมือสุราบายาไปยังประเทศสิงคโปร์ เมื่อช่วงเช้าตรู่วันที่ 28 ธ.ค. ที่ผ่านมา ผลการตรวจกล่องดำและกล่องบันทึกเสียงในห้องนักบิน ซึ่งมีการเปิดเผยออกมาเป็นระยะ ล่าสุดระบุว่า ในขณะที่นายเรมี เพลเซล นักบินผู้ช่วยชาวฝรั่งเศส ล้มเหลวที่จะควบคุมเครื่องบิน กัปตันอิริยันโต ชาวอินโดนีเซีย ได้พยายามที่จะแก้ไขสถานการณ์ด้วยวิธีการที่ผิดไปจากขั้นตอนปกติ
เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา สำนักข่าวรอยเตอร์เผยว่า ประเด็นหลักในการสืบสวนครั้งนี้ อยู่ที่สภาพการทำงานของคอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่ควบคุมการบิน (Flight Augmentation Computer: FAC) และวิธีการที่นักบินทั้งสองตอบสนองต่อปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งสำนักข่าวบลูมเบิร์กส์รายงานเพิ่มเติมเมื่อวันศุกร์ว่า ได้มีการดึงเบรกเกอร์เพื่อตัดกระแสไฟฟ้า หลังนักบินพยายามปรับระบบอุปกรณ์ใหม่ แหล่งข่าวที่ใกล้ชิดการสอบสวนซึ่งไม่มีการเปิดเผยชื่อกล่าวว่า มีความเป็นไปได้ว่าผู้ที่ดึงเบรกเกอร์คือกัปตันอิริยันโต ไม่ใช่ผู้ช่วยนักบินที่มีประสบการณ์น้อยกว่า ซึ่งนับเป็นวิธีการที่ผิดปกติ เนื่องจากตามขั้นตอนแล้ว การปรับระบบคอมพิวเตอร์ใหม่สามารถทำได้โดยการกดปุ่มบนแผงควบคุมที่ติดตั้งอยู่เหนือศีรษะ โดยก่อนเกิดเหตุไม่กี่วัน กัปตันอิริยันโตก็เคยประสบปัญหาเดียวกันบนเครื่องบินลำเดียวกันนี้
นักบินเครื่องบินแอร์บัส เอ320 คนหนึ่ง ให้ความเห็นว่า การดึงเบรกเกอร์นับเป็นเรื่องที่ผิดปกติมาก และไม่ควรจะเกิดขึ้นยกเว้นว่าจะอยู่ในสถานการณ์ที่คับขันจริงๆ ซึ่งการจะดึงเบรกเกอร์ได้นั้น นักบินจะต้องลุกจากที่นั่ง เนื่องจากมันติดตั้งอยู่บริเวณแผงควบคุมด้านหลังของผู้ช่วยนักบิน และเป็นเรื่องยากมากที่จะเอื้อมถึงจุดนั้นจากตำแหน่งที่นั่งในฝั่งซ้าย ซึ่งเป็นที่นั่งของกัปตัน เมื่อดูจากแผนผังห้องนักบิน ทั้งนี้ การหยุดทำงานของระบบไฟฟ้า ไม่ได้มีผลโดยตรงที่จะทำให้เครื่องบินตก แต่จะทำให้ระบบควบคุมความปลอดภัยไม่สามารถทำงานได้ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุให้ผู้ช่วยนักบินบังคับเครื่องจนอยู่ในระดับที่อันตรายโดยไม่รู้ตัว
มีข้อสันนิษฐานว่า หลังเกิดความผิดปกติกับคอมพิวเตอร์ ผู้ช่วยนักบินอยู่ในความตระหนกและตัดสินใจเชิดหัวเครื่องบินขึ้น ซึ่งถึงแม้กัปตันจะสามารถเข้ามาควบคุมเครื่องได้ แต่ก็ไม่สามารถนำเครื่องกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้ทัน โดยนายตาตัง กูร์นิอาดี ประธานคณะกรรมาธิการความปลอดภัยด้านการขนส่งแห่งชาติอินโดนีเซีย (เอ็นทีเอสซี) ย้ำว่า หลักฐานแสดงให้เห็นว่า กัปตันกลับเข้าประจำตำแหน่งเพื่อแก้ปัญหาในทันทีโดยไม่รอช้า อย่างไรก็ตาม บริษัทแอร์บัสไม่ได้ออกมาให้ความเห็นต่อเรื่องนี้ เช่นเดียวกับแอร์เอเชียที่ยืนยันว่าจะไม่ให้ความเห็นใดระหว่างที่การสอบสวนยังไม่ลุล่วง
ด้านทนายความของครอบครัวผู้ช่วยนักบินชาวฝรั่งเศส ได้ยื่นฟ้องบริษัทแอร์เอเชียต่อศาลในกรุงปารีส ฐานทำให้ชีวิตผู้อื่นตกอยู่ในอันตราย ด้วยการขึ้นบินในเส้นทางและเวลาดังกล่าวโดยไม่ได้รับอนุญาต แม้ว่าเจ้าหน้าที่สืบสวนจะกล่าวว่า ประเด็นดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นก็ตาม
ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญได้กล่าวเตือนถึงการตั้งสมมติฐานต่างๆ เกี่ยวกับอุบัติเหตุครั้งนี้ หลังมีการเปิดเผยรายละเอียดของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นออกมาเรื่อยๆ เพราะถึงแม้ว่าการพิจารณาแต่ละเหตุการณ์จะเป็นสิ่งสำคัญ แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะอธิบายได้ถึงสาเหตุที่แท้จริง จึงจำเป็นต้องวิเคราะห์ในทุกรายละเอียดอย่างถี่ถ้วน และตอนนี้ยังเร็วเกินไปที่จะมีข้อสรุปใดๆ.
ขอบคุณภาพจาก www.dailymail.co.uk
สำนักข่าวWiFi Phitsanulok
ขอบคุณที่มาของข่าวโดยdailynews.co.th
เวลาโพส2015-01-31 22:58:09
เวลาโพส2015-01-31 22:58:09
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น