แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ บทความ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ บทความ แสดงบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2556

(ย้อนรอย)แพท พาวเวอร์แพท อดีตนักร้องดังที่ถูกตัดสินจำคุก 50 ปีในคดีค้ายาอี

แพท พาวเวอร์แพท

แพท พาวเวอร์แพท อดีตนักร้องดังที่ถูกตัดสินจำคุก 50 ปีในคดีค้ายาอี เปิดประวัติ ผลงาน และย้อนรอยคดี แพท พาวเวอร์แพท นายวรยศ บุญทองนุ่ม 

            จากกรณีข่าวของอดีตนักร้องสาวชื่อดัง จอยซ์ ทีเค หรือนางสาวพรพรรณ รัตนเมธานนท์ แห่งวง ไทรอัมพ์ส คิงดอม ที่ถูกจำคุกในคดีค้ายาบ้า เพิ่งพ้นโทษออกมาก่อนหน้านี้ ทำให้หลายคนเริ่มหันมาให้ความสนใจกับเรื่องราวของดารา คนดังในอดีต ที่เคยมีคดีเกี่ยวพันกับยาเสพติดกันอีกครั้ง และเรื่องที่ได้รับความสนใจที่สุดเรื่องหนึ่ง ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องราวของหนุ่ม แพท วรยศ บุญทองนุ่ม หรือ แพท พาวเวอร์แพท อดีตนักร้องหนุ่มชื่อดัง ที่ต้องโทษจำคุก 50 ปี ในคดีมียาเสพติดไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายและเสพ (ยาอี) เมื่อปี พ.ศ. 2547 นั่นเอง

            สำหรับ แพท พาวเวอร์แพท มีชื่อจริงว่า นายวรยศ บุญทองนุ่ม เป็นอดีตศิลปินในสังกัดแกรมมี่ แพท วรยศ ถูกปลุกปั้นมาเป็นนักร้องนำวง พาวเวอร์แพท ในยุคที่เพลงแนว เจ-ร็อค เข้ามาตีตลาดเมืองไทย ในช่วงปี พ.ศ. 2543-2545 ในสมัยนั้น แพท พาวเวอร์แพท เป็นที่รู้จักในมาดหนุ่มหล่อสไตล์ เจ-ร็อค มีผลงานเพลงฮิตในสมัยนั้นคือเพลง "หลุดปากใช่ไหม" โดยวง พาวเวอร์แพท มีผลงานเพลงชุดแรกในอัลบั้ม Power Pat ในปี พ.ศ. 2543 อัลบั้ม Power Pop ในปี พ.ศ. 2544 และอัลบั้มเดี่ยว พาวเวอร์ แพท ในปี พ.ศ. 2545

แพท พาวเวอร์แพท

            นอกจากผลงานเพลงแล้ว แพท พาวเวอร์แพท ยังเคยมีผลงานแสดงละครเรื่อง รัน! รักอันตราย, Girl Club รับเอาคืน และเฮี้ยวนักรักซะเลย หลังจากนั้นข่าวคราวของ แพท พาวเวอร์แพท ก็ห่างหายไป จนกระทั่งเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2547 ก็มีข่าวว่า นายวรยศ บุญทองนุ่ม หรือ แพท พาวเวอร์แพท ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมคดีมียาเสพติดไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายและเสพ (ยาอี) โดยตำรวจได้มีการล่อซื้อยาอีจาก แพท พาวเวอร์แพท จำนวน 1,000 เม็ด ราคา 150,000 บาท นัดส่งของในซอยลาดพร้าว 94 จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้แสดงตัวเข้าจับกุม แพท พาวเวอร์แพท พร้อมของกลางยาอีรวม 2,989 เม็ด ยาเคชนิดน้ำจำนวน 4 ขวด และกัญชา 1 ห่อ มูลค่ากว่า 2 ล้านบาท โดยเจ้าตัวอ้างว่าที่ทำลงไปเพราะชีวิตตกอับไม่มีงานจนต้องหันมาพึ่งยาเสพติด กลายเป็นคดีดังในสมัยนั้นก่อนที่ แพท พาวเวอร์แพท จะถูกศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ จำคุก 50 ปี และปรับ 1 ล้านบาท เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2554

            นอกจากนี้ เมื่อช่วงกลางเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2547 ยังมีรายงานว่า แพท พาวเวอร์แพท เคยมีคดีร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา เมื่อปี พ.ศ. 2541 ด้วย โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2541 แพท พาวเวอร์แพท และแฟนสาว น.ส.จารุวรรณ โชติเฉลิมศักดิ์ พร้อมเพื่อนนับสิบคน ได้รุมทำร้าย นายสมชาย ณรงค์ภูตะกิจ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของแมนชั่นใน อ.เมือง จ.นนทบุรี จนเสียชีวิต เนื่องจากไม่พอใจที่ถูกเรียกให้มาเลื่อนรถ

            อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ แพท พาวเวอร์แพท ก็ไม่ได้หมดหวังในชีวิต เขาได้ตั้งใจเรียนจนจบปริญญาตรี ในคณะนิติศาสตร์  มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช โดย แพท พาวเวอร์แพท เป็นหนึ่งในนักโทษที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจาก มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (มสธ.) ประจำปีการศึกษา 2551 และเขายังได้เรียนรู้ชีวิตที่เคยผิดพลั้งไป ด้วยการบำเพ็ญประโยชน์และซ้อมเล่นดนตรีขณะอยู่ในเรือนจำด้วย
            แม้ว่าคดีความของ แพท พาวเวอร์แพท จะถูกตัดสินไปนานแล้ว แต่เรื่องราวของเขาก็ยังเป็นอุทาหรณ์ที่ดี สำหรับเหล่าดารา หรือใครก็ตามที่คิดจะยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด เพราะความผิดพลาดที่เกิดขึ้น อาจส่งผลเสียต่อตนเองและคนรอบข้างไปทั้งชีวิต

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก ครอบครัวข่าว 3คุณ ต้น ปฐมพงศ์ สมาชิกเว็บไซต์ยูทูบดอทคอม

วันเสาร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ตำนาน สุดสะพรึงของสวนสนุก แฮปปี้แลนด์

เป็นจุดที่รถเมล์สาย 8 หมดระยะ ไม่มีใครที่ไม่รู้จักแฮปปี้แลนด์

แฮปปี้แลนด์สมัยก่อนเป็นสวนสนุกที่มีตำนานที่น่าสะพรึงกลัวมาก มีเครื่องเล่นมากมายอย่างเช่น ชิงช้าสวรรค์ รถไฟเหาะ เรือหรรษา ปาเป้า ม้าหมุน ชิงช้า กระดานหก บ้านผีสิงหลังเล็กๆ และอื่นๆ อีกมากมาย แต่ไม่หรูเท่าแดนเนรมิต
ตำนาน สุดสะพรึงของสวนสนุก แฮปปี้แลนด์
แฮปปี้แลนด์ จะออกสไตล์สวนสนุกตามงานวัด เป็นสวนสนุกที่ทำให้คนชั้นกลางถึงชั้นรากหญ้าเล่นโดยเฉพาะ แดนเนรมิตจะไฮโซกว่ามาก คนสมัยก่อนนิยมไปเล่นที่นี่มากพอๆ กับที่แดนเนรมิต ตอนนั้นดรีมเวิลดิ์ยังไม่ได้สร้าง นานๆ เข้าเครื่องเล่นส่วนใหญ่ก็เก่า และชำรุดไปตามกาลเวลา

อย่าเผลอฟังตอนกลางคืน เพียงคนเดียว เดี่ยวจะหาว่าไม่เตือน หึหึหึ…
ทำให้เกิดอุบัติเหตุจนคนเล่นบางคนตาย ซึ่งแปลกมากที่ส่วนใหญ่จะเป็นเด็กๆ ทั้งนั้น เช่น นั่งชิงช้าสวรรค์หรือม้าหมุนแล้วพลัดตกลงมาตายบ้าง เล่นเรือหรรษาแล้วเกิดพลัดตกน้ำจมน้ำตายบ้าง ตกราวรถไฟเหาะตายบ้าง บางคนก็ถูกฆ่าหั่นศพในบ้านผีสิงแล้วเอาศพทิ้งไว้จนเน่าในนั้นเลย แต่ละคนตายแบบแปลกๆ และสยองขวัญมากๆ ตายแบบไม่มีคนเห็นด้วย ลือกันว่ามีฆาตกรโรคจิตคนหนึ่งชอบลักพาตัวเด็กที่มาเล่นเครื่องเล่นตอนกลาง วัน แล้วเชือดคอฆ่าทิ้งในตอนกลางคืน ทิ้งศพไว้ตามบริเวณต่างๆ ของสวนสนุก แฮปปี้แลนด์จึงเต็มไปด้วยศพของเด็กจำนวนมาก และไม่มีใครรู้ว่าฆาตกรคนนั้นเป็นใคร ทำไปเพื่อจุดประสงค์อะไร แต่ทางสวนสนุกต้องปิดข่าวเอาไว้เพราะกลัวคนที่มาเล่นจะตกใจ แฮปปี้แลนด์ในตอนนั้นจึงเป็นสวนสนุกที่เด็กมาเล่นแล้วตายมากที่สุด แต่ไม่ค่อยมีคนรู้ !
ตำนาน สุดสะพรึงของสวนสนุก แฮปปี้แลนด์
นานวันเข้า เครื่องเล่นเก่าและเจ๊งมากขึ้น คนเล่นก็ตายมากขึ้นด้วย ข่าวเริ่มปิดไม่มิด ทำให้สวนสนุกแฮปปี้แลนด์ไม่มีคนกล้ามาเล่นมากเท่าเมื่อก่อน ในที่สุดก็เจ๊ง ถูกรื้อ และกลายเป็นที่รกร้างไป ผ่านไปหลายปี มีคนคิดมาเปิดตลาดขายของที่นี่ และเปลี่ยนจาก สวนสนุกแฮปปี้แลนด์ เป็นตลาดสด แฮปปี้แลนด์ จนถึงปัจจุบัน ตอนนี้แฮปปี้แลนด์ไม่มีอะไรน่ากลัวอีกแล้ว
ตำนาน สุดสะพรึงของสวนสนุก แฮปปี้แลนด์
เพราะมีแต่ของมาขายเยอะมาก แต่กลางคืนก็ยังไม่คอยมีใครกล้าเดินแถวนั้นคนเดียวเพราะกลัวผี ลือกันว่าตอนดึกๆ คนที่มีบ้านอยู่แถวแฮปปี้แลนด์นั้นจะได้ยินเสียงเด็กๆ ร้องกันเสียงดังจ้อกแจ้กดังมาจากที่ไหนซักแห่งไกลๆ ราวกับว่าเด็กพวกนั้นกำลังเล่นเครื่องเล่นกันอยู่อย่างสนุกสนานเลยทีเดียว แต่พอออกไปดูก็ไม่เห็นอะไรเลย
ตำนาน สุดสะพรึงของสวนสนุก แฮปปี้แลนด์
แต่มีคนเคยบอกว่า… เนื่องจากเด็กๆ พวกนี้ตายขณะที่ยังสนุกกับเครื่องเล่นอยู่ และพวกเขาอาจจะไม่รู้ว่าตนเองตายไปแล้ว พวกเขาจึงยังคงเล่นกันต่อไปจนกว่าจะไปเกิดใหม่ ถึงแม้ว่าตอนนี้จะไม่มีเครื่องเล่นหลงเหลืออีกแล้วก็ตาม หรือไม่พวกเขาก็อาจจะกำลังหาเครื่องเล่นที่ตนเองเล่นก่อนจะตายอยู่ก็ได้ ไม่มีใครรู้แน่ชัด แต่อาจจะมีวิญญาณของเด็กๆ พวกนั้นยังคงวนเวียนอยู่ในแฮปปี้แลนด์จนถึงทุกวันนี้ อยู่ก็เป็นได้…
ตำนาน สุดสะพรึงของสวนสนุก แฮปปี้แลนด์
ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก thenightshock.com / travel.truelife.com

ขอขอบพระคุณที่มาของข่าว : 

วันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2556

ทาสแรงงาน



ทาสแรงงาน
ทุกวันนี้มีคนหลายคนมักบ่นว่า รัฐบาลชุดนี้เอาใจแรงงานมากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของค่าแรงขั้นต่ำ 

และเรื่องของการคุ้มครองแรงงาน คนที่บ่นไม่ใช่ใครที่ไหน มันออกมาจากปากผู้มีอันจะกินทั้งหลาย 
ที่มองแรงงานเป็นเพียงปัจจัยการผลิต แบบที่ร่ำเรียนกันมาตามทฤษฎี MBA รุ่นเก่าทั้งหลาย เลยลืมไปว่า
พวกเขาเหล่านี้ก็เป็นคนเหมือนกัน พวกคุณไม่ได้วิเศษวิโสไปกว่าพวกเขาเท่าใดหรอก ถ้าเดินเจอกันตาม
ท้องถนนแยกไม่ออกหรอกว่าใครใหญ่กว่าใคร แต่ถ้าอยู่ในโรงงาน โรงแรม โรงพยาบาล ร้านอาหาร ที่พวกคุณเป็นเจ้าของ 
คุณใหญ่กว่าเขาแน่ คุณจะด่า จะกดขี่ พวกเขาอย่างไรก็ได้ แต่เมื่อวันหนึ่งพวกเขาออกมาจากงานที่คุณเป็นเจ้าของ 
แล้วพวกเขาเจอหน้าคุณอาจจะด่ำคุณเหมือนหมูเหมือนหมาก็ได้ ในความเป็นจริง คนเรานั้นเท่ากัน จะต่างกันก็ความดีมีน้ำใจที่

เคยทำต่อกันไว้ ถ้าทำไม่ดีไว้ ออกมาเจอกันข้างนอก ระวังจะโดนไล่เตะเอานะครับ 
ความไม่เท่าเทียมกันระหว่างนายจ้าง กับ ลูกจ้าง ไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้นหรอกสำหรับผม ทุกวันนี้ลูกจ้าง
มีสถานะที่อ่อนแอไม่ต่างอะไรจากสมัยทาส นอกจากเป็นทาสแล้ว เมื่อพ้นสภาพทาสก็ยังถูกข่มขืนซ้ำอีก 
ก็จะไม่โดนข่มขืนซ้ำอย่างไรละครับ ขึ้นชื่อว่าลูกจ้างก็แปลว่า “จน” ที่บอกว่าโดนข่มขืนซ้ำ ก็เพราะว่าเมื่อมีปัญหากับนายจ้าง 
ก็ไปร้องเรียนหน่วยงานรัฐ เขาก็จะนัดไกล่เกลี่ยให้ โดยบอกว่า “ยอมนายจ้างไปเถอะ เพราะถ้าไม่จบวันนี้จะต้องไปร้องที่ศาล 
และต้องเสียเงินเสียทองมากนะ จะสู้ไหวเหรอ” ช่างเป็นคำแนะนำที่ดีมาก ตรงๆ ได้ใจความ แปลว่า “เพราะกูจน กูแพ้แน่ 
เพราะกูไม่มีเงิน กูจะสู้นายจ้างที่รวยได้อย่างไร” สิ่งที่หน่วยงานรัฐ ไกล่เกลี่ย แล้วมันคุ้มครองแรงงานตรงไหน 
ที่ พวกเขามาร้องเพราะรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม แต่กับขู่เรื่องค่าใช้จ่ายในการขึ้นศาล สิ่งที่ควรดูแล ไม่ใช่แค่เรื่องค่าแรงขั้นต่ำเพียงอย่างเดียว 

แต่ ควรใส่เรื่อง “อัตราความเป็นมนุษย์ขั้นต่ำ” ด้วย 
สุดท้ายอยากจะบอกว่าโลกทุกวันนี้ ต้องเป็นคนรวยเท่านั้นครับ ทำอย่างไรก็ได้ให้รวย เพราะคนรวยพูดแล้วคนจะฟัง คนจะเข้าข้าง 
ถ้าคุณเป็นคนธรรมดา คือจน จะเข้าร้องเรียนใคร เขายังไม่อยากจะรับเรื่องเลย ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าวันหนึ่งเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับผม
ถ้าเราจน แล้วเราจะไปพึ่งใครได้ เขาอาจจะบอกว่า “ยอมไปเถอะ เพราะถ้าไม่จบวันนี้จะต้องไปร้องที่ศาล และต้องเสียเงินเสียทองมากนะ 
จะสู้ไหวเหรอ” ก็ขนาดคนที่มียศมีตำแหน่งเป็นข้าราชการที่มีหน้าที่ดูแลยังไม่สู้เลย แล้วคนจนอย่างผมจะไปสู้อะไรได้ 
ทำได้แค่ทำใจแล้วยอมแพ้เหรอครับ ทุกวันนี้ผมไม่มีเงินจ้างลูกน้องตามอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ
แต่ลูกน้องยังยอมทำงานให้ผมก็เพราะอย่างน้อย ผมมี “อัตราความเป็นมนุษย์ขั้นต่ำ” สูงกว่าพวกคุณมากมายนัก
ขอพระคุ้มครองทุกท่าน ส.ต.กริช พลเดชวิสัย


ข่าวโดย : 
สุทธิภัทร ชูสกุลพัฒนา

นายสุทธิภัทร ชูสกุลพัฒนา

บรรณาธิการข่าว ออนไลน์
 
หนังสือพิมพ์กริชโพสต์

บรรณาธิการข่าว ออนไลน์
 
สำนักข่าว WiFi Phitsanulok

และAdmin Blogger @ สำนักข่าว WiFi Phitsanulok



 

อย่าวิตก AEC เกินเหตุ



อย่าวิตก AEC เกินเหตุ


คำถามจากนักศึกษาที่เรียนด้านการท่องเที่ยว จากมหาวิทยาลัยชื่อดังของเมืองพิษณุโลก

ว่ามีความวิตกกังวลอะไรบ้าง เมื่อ AEC เข้ามาประเทศไทย คำตอบของผมก็คือจะไปวิตกกังวลเรื่องอะไร เพราะ AEC 
สำหรับผมมันเป็นโอกาสมากกว่าอุปสรรคสำหรับการท่องเที่ยว หลายคนอาจกังวลเรื่องภาษาอังกฤษ 
โดยให้เหตุผลว่าเมื่อเปิดประเทศแล้ว ทุกประเทศพูดภาษาอังกฤษได้ ยกเว้นประเทศไทย 
ในความรู้สึกของผมนั้นเข้าใจอะไรกันผิดหรือเปล่า จีน ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส เยอรมัน รัสเซีย ไม่เห็นมีประเทศไหนพูดภาษาอังกฤษกันเลย 
พวกเราก็ไปเที่ยวกันอย่างถล่มทลาย 


การท่องเที่ยวเป็นธุรกิจที่ผูกพันกับการใช้ภาษาอังกฤษจริงครับ แต่สิ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาประเทศไทย 
ตั้งแต่โบราณกาล ที่ทำให้เรามีรายได้ เป็นแสนล้าน ไม่ใช่ภาษาอังกฤษครับ แต่เป็นน้ำใจความเป็นนักบริการของคนไทย 
เด็กยกกระเป๋า จบ ป.6 พูด อ่าน เขียน ภาษาอังกฤษไม่ได้ ถึงพูดได้ก็ งูๆ ปลาๆ แต่ฝรั่งให้ทิป ครั้งละ 100 บาท 
คงต้องเปิดโลกทัศน์ซะใหม่ให้กับนักศึกษากันแล้วละครับ นักศึกษาสมัยนี้อย่ามัวแต่เก็บตัวอยู่ในกะลา ใครพูดอะไรก็เชื่อหมด 
ผมขอฝากไปถึง ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน ตลอดถึงครูบาร์อาจารย์ด้านการท่องเที่ยวว่า

พวกท่านอย่ากังวลมากจนเกินเหตุไปเลยครับเรื่องภาษาอังกฤษ การที่พวกเราจะเลือกไปเที่ยวที่ไหน 
เราคงไม่ได้นำแผนที่มากางแล้วเลือกประเทศที่จะไปเที่ยวต้องพูดภาษาอังกฤษได้ การที่ภาครัฐ ภาคเอกชน 


ตลอดถึงครูบาร์อาจารย์ด้านการท่องเที่ยว กำลังจะบอกนักศึกษาว่านักท่องเที่ยวที่จะมาเที่ยวประเทศไทย
เมื่อรู้ว่าคนไทยพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ เขาจะเปลี่ยนไปเที่ยว เวียดนาม ลาว พม่า แทน แต่ถ้าบอกว่าเป็นห่วงเรื่องมาตรฐานการให้บริการ 
และสถานที่ท่องเที่ยวที่จะสู้ประเทศอื่นไม่ได้ จะดูดีมีความรู้มากกว่าครับ เพราะต่อให้คนไทยพูดภาษาอังกฤษดีแค่ไหน ถ้าบริการไม่ดี คงไม่มีใครมาเที่ยวหรอกครับ 
แต่ถ้าจะถามว่าภาษาอังกฤษมีความสำคัญกับ AEC ไหม ตอบว่าสำคัญสำหรับภาคธุรกิจ ที่ต้องติดต่อทำมาค้าขายกับประเทศอื่น และธุรกิจด้านการท่องเที่ยวสถานที่ประกอบการไม่ว่าจะเป็นโรงแรม รีสอร์ท ร้านอาหารใหญ่ๆ พนักงานต้องรู้ภาษาอังกฤษ และพวกเขาก็รู้ภาษาอังกฤษอยู่แล้ว โดยไม่เกี่ยวกับ AEC เลย

แต่แม่ค้าขายกล้วยปิ้งในตลาดคงไม่จำเป็นเท่าไร เพราะทุกวันนี้ฝรั่งที่เดินเที่ยวแถวนั้น ก็ซื้อกล้วยปิ้งด้วยภาษามือ 
และรอยยิ้มเขินๆ ของแม่ค้าอยู่แล้ว และนี่คือ เสน่ห์ครับ เสน่ห์ที่เราหาที่อื่นไม่ได้ ยกเว้นประเทศไทย 

ผมเคยไปเที่ยวประเทศจีนมาหลายครั้ง เวลาไปซื้อของนอกจากแม่ค้าจีนไม่พูดภาษาอังกฤษแล้วยังพูดภาษาไทยกับผมอีกด้วย

แต่ผมไม่เคยประทับใจเลยเพราะบริการของจีนแย่มาก รอยยิ้มอย่างแม่ค้าไทยไม่มีให้เห็นที่นั้น ถ้าเลือกมากๆ แล้วไม่ซื้ออาจจะถูกด่าด้วยซ้ำไป 
แล้วก็วกมาเข้าเรื่องที่ว่าตอนนี้หน่วยงานต่างๆ เกี่ยงกันว่าใครจะเป็นคนอบรมด้านภาษาอังกฤษให้กับ ภาคการท่องเที่ยว

ผมว่ามันเป็นกระบวนความคิดที่แปลกมาก เพราะผมไม่คิดว่าเด็กมหาวิทยาลัยที่ร่ำเรียนถึงปริญญาตรี ปริญญาโท
ด้านการท่องเที่ยวจะมีคำถามแบบนี้ คำถามที่ว่า “หน่วยงานใด รับผิดชอบเรื่องการอบรมภาษาอังกฤษ” คำตอบก็คือ 
ไม่มีใครเกี่ยงกันหรอกเรื่องนี้ มีแต่แย่งกันทำ ทางจังหวัดก็มีการอบรม ทางเทศบาลก็มีการอบรม แต่ถามว่าทำไมยังพูดภาษาอังกฤษกันไม่ได้


คำตอบก็คือไม่ควรถามโง่อย่างนี้ ผมถามกลับไปว่า คนที่ เรียนจบปริญญาตรี มีคนพูดภาษาอังกฤษได้กี่คน แล้วการอบรม 2 วัน 5 วัน 1 เดือน
จะให้พูดภาษาอังกฤษได้ คำถามนี้ปัญญาอ่อนมากๆ และไม่ขอตอบ
กลับมาบทสรุปครับว่า การเปิด AEC มีความน่าวิตกอะไรอีก ผมวิตกว่า ภาครัฐ ภาคเอกชน ตลอดถึงครูบาร์อาจารย์ด้านการท่องเที่ยว 

จะวิตกกันจนเกินเหตุ การเปิด AEC ไม่ใช่ระเบิดเวลาที่พอเปิดปุ๊ป ทุกอย่างจะประเดประดัง ระเบิดกันเปรี้ยงปร้าง 
ซึ่งเราสามารถปรับตัวได้ เพราะทุกวันนี้ การผ่านเข้ามา ของโลกไร้พรหมแดน มันมากัน 10 กว่าปีแล้ว ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไรเท่าไหร่เลย 
นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เข้ามาบ้านเรา ปีละประมาณ แสนกว่าคน มาเป็น 40 ปีแล้ว มาตั้งแต่รุ่นที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้เช่นกัน 


ขอร้องอย่าดูถูกคนไทยกันเลย คนไทยไม่เคยเป็นรองใครในโลกใบนี้ แต่สิ่งที่น่าสนใจและจะเป็นโอกาสสำหรับการท่องเที่ยวสำหรับผม
คือ เส้นทางท่องเที่ยวใหม่ๆ เส้นทางท่องเที่ยวที่เชื่อมโยงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่มีร่วมกันของภูมิภาคแถบนี้ 
ไม่ใช่ต่างคนต่างขายแต่ขายร่วมกันเหมือนเราเป็น 1 ประเทศ เสียเวลามา 7 วันเที่ยวได้ 5 ประเทศ เหมือนยุโรปไงครับ นี่ต่างหาก 
สิ่งที่ผมว่า ภาครัฐ ภาคเอกชน โดยเฉพาะ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ควรรีบดำเนินการ อย่าให้ใครมาฉกโอกาสทองนี้ไปก่อน แล้ว 
นอนละเมอเพ้อพกว่า นักท่องเที่ยวไม่มาประเทศไทยเพราะเราพูดภาษาอังกฤษไม่เป็น 
ขอพระคุณครองทุกท่าน
ส.ต.กริช พลเดชวิสัย


ข่าวโดย : 
สุทธิภัทร ชูสกุลพัฒนา

นายสุทธิภัทร ชูสกุลพัฒนา

บรรณาธิการข่าว ออนไลน์
 
หนังสือพิมพ์กริชโพสต์

บรรณาธิการข่าว ออนไลน์
 
สำนักข่าว WiFi Phitsanulok

และAdmin Blogger @ สำนักข่าว WiFi Phitsanulok