
เปิดสารพัดภาษีคนไทยต้องจ่าย
รัฐย้ำ...ลดเหลื่อมล้ำกระตุ้นศก.
เหลือเวลาอีกไม่กี่วันที่ผู้เสียภาษีต้องทำหน้าที่เป็นผู้เสียภาษีที่ดี ด้วยการยื่นแบบและชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามกฎหมายโดยคาดกันว่าการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดารอบนี้กรมสรรพากรจะทำหน้าที่รีดภาษีได้เป็นอย่างดีโดยวางเป้าหมายไว้ที่ประมาณ 290,000 ล้านบาท
แม้ว่าการรีดภาษีเงินได้ไม่ว่าจะเป็นรายตัว รายบริษัท และอีกสารพัดภาษีเพื่อผลักดันให้รายรับของรัฐบาลในปี 58 เป็นไปตามเป้าหมายก็ตาม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ณ เวลานี้ เรื่องราวของการจัดเก็บภาษีในทุกรูปแบบของไทยยังกลายเป็นอุปสรรคขัดขวางการเดินหน้าเศรษฐกิจไทยอยู่ไม่น้อย
เร่งปฏิรูปโครงสร้าง
ดังนั้น! เป้าหมาย “การปฏิรูปโครงสร้างภาษี” ทั้งภาษีสรรพสามิต ภาษีสรรพากร ภาษีศุลกากร จึงกลายเป็นประเด็นหลักที่รัฐบาล “ท็อปบู๊ต” ยังคงให้ความสำคัญต่อเนื่องเพราะต้องยอมรับว่า “ภาษี” ได้กลายเป็นแหล่งรายได้หลักที่ช่วยให้รัฐบาลสามารถจัดทำงบประมาณเพื่อนำมาบริหารประเทศการลงทุน ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม สาเหตุที่ต้องปฏิรูปภาษีเนื่องจากที่ผ่านมาการจัดเก็บได้รับผล กระทบจากเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ฟื้นตัว ประกอบกับปัญหาการเมืองของประเทศส่งผลต่อการจัดเก็บรายได้ทำให้รายได้ปีงบประมาณ 57 ที่ผ่านมาจัดเก็บได้ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้กว่า 200,000 ล้านบาท
การปฏิรูปโครงสร้างภาษีทั้งระบบ จึงกลายเป็นความหวัง... ความฝันที่รัฐบาลต้องการใช้เป็นเครื่องมือ เพื่อเพิ่มศักยภาพการลงทุนและการพัฒนาประเทศตามนโยบายรัฐบาลที่กำหนดลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท และรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ช่วงปลายปีเพื่อผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางในภูมิภาคอาเซียน
เปิดสารพัดภาษีปี 58
สารพัดภาษีที่รัฐบาลของ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” เตรียมนำมารีดคนไทยกันถ้วนหน้าจะนำมาใช้มีไม่ต่ำกว่า 10 ตัว จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ของภาครัฐป้องกันปัญหาคอร์รัปชั่นลดความเหลื่อมล้ำของรายได้สร้างความเป็นธรรมให้กับสังคมไทยนั้น มีทั้งการปรับปรุงกฎหมายภาษีเดิมหลังจากถูกใช้มาเป็นเวลานานแต่ไม่มีการผลักดันจากนโยบายรัฐบาลชุดก่อน ๆ และการเพิ่มภาษี
ใหม่ ๆ เข้ามาแทนภาษีตัวเก่า เพื่อพัฒนาให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสินค้าและผู้ประกอบการ ส่งผลให้การจัดเก็บรายได้เข้ามาอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยเพิ่มขึ้น ป้องกันการสูญเสียเงินรายได้เพื่อสร้างผลประโยชน์ต่อประเทศได้อย่างยั่งยืน ถือเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดแล้วที่จะเปลี่ยนแปลงจากรัฐบาลผู้มีอำนาจเต็มในการกำหนดนโยบายและวางแนวทางในระยะยาว
ประเดิม...ภาษีมรดก
เริ่มด้วยภาษีใหม่อย่าง ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การรับภาษีมรดก ที่ถูกนำมาปัดฝุ่นใหม่อีกครั้งถือเป็นกฎหมายภาษีตัวแรกที่รัฐบาลเลือกนำมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ของภาครัฐ เพื่อนำไปพัฒนาประเทศและยกระดับการดำรงชีวิตของประชาชนที่ยากจนให้ดีขึ้น โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) วาระ 2 ภายหลังจากผ่านมติรับหลักการวาระแรกด้วยคะแนนอย่างท่วมท้นโดยจะเน้นจัดเก็บผู้มีมรดกเกินกว่า 50 ล้านบาท มีเพดานจัดเก็บสูงสุดที่ 10% มีอยู่ประมาณ 10,000 ราย พร้อมกับการแก้ไข ร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากรมาตรา 42 (14) เรื่องการรับการให้ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่เกี่ยวกับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปัจจุบันแต่จะแก้ไขให้สอดคล้องกับการจัดเก็บภาษีการรับมรดกเพื่อหวังปิดช่องโหว่การโอนหรือการหลีกเลี่ยงการเสียภาษีมรดก
แต่ยังคงต้องถกเถียงกันอีกนานพอสมควรว่าวัตถุประสงค์ของสองร่างกฎหมายดังกล่าวจะช่วยกระจายรายได้และลดความเหลื่อมล้ำทางด้านรายได้หรือไม่ เพราะสมาชิก สนช. บางส่วนห่วงว่าร่างกฎหมายนี้จะไม่สามารถสร้างความเป็นธรรมได้จริงในทางปฏิบัติรวมถึงอาจมีผู้เลี่ยงการเสียภาษีในส่วนนี้ด้วยการไปตั้งเป็นกองทุนสาธารณกุศลพร้อมเสนอให้ปรับแก้การจัดเก็บเป็นแบบขั้นบันไดเหมือนการเก็บภาษีบุคคลธรรมดา
ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
ขณะที่ ร่าง พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง จะถูกนำมาจัดเก็บภาษีแทนภาษีการถือครองทรัพย์สินปัจจุบันซึ่งจัดเก็บโดยกฎหมาย 2 ฉบับ คือพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดินพุทธศักราช 2475 และพระราชบัญญัติภาษีบำรุงท้องที่ พ.ศ. 2508 เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาของกฎหมาย 2 ฉบับดังกล่าวเนื่องจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ไม่สามารถจัดเก็บภาษีได้มีประสิทธิภาพ โดยสาระสำคัญการเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างได้กำหนดเพดานภาษี ได้แก่ พื้นที่สำหรับเพาะปลูกทำการเกษตรไม่เกิน 0.25% พื้นที่สำหรับอยู่อาศัยไม่เกิน 0.5% พื้นที่สำหรับเพื่อการพาณิชย์ไม่เกิน 2% และพื้นที่สำหรับรกร้างว่างเปล่าไม่เกิน 4% ซึ่งการเก็บจริงจะต่ำกว่าเพดานที่กำหนดแต่ในส่วนของที่ดินรกร้างว่างเปล่าจะมีกำหนดเวลา 3 ปี หากไม่ใช้ประโยชน์ก็จะเพิ่มอัตราให้มากขึ้นซึ่งการนำภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมาแทนจะทำให้เก็บภาษีได้มากขึ้น 5-6 เท่า หรือไม่ต่ำกว่าปีละ 200,000 ล้านบาท ถือเป็นภาษีที่นำเงินออกมาจากเหล่าบรรดาเศรษฐีที่ดินได้จำนวนมาก
อย่างไรก็ดีภายหลังกฎหมายมีผลบังคับใช้รัฐบาลจะผ่อนผันยังไม่เก็บภาษีอีกประมาณ 1 ปีครึ่งเพื่อให้กรมธนารักษ์ประเมินที่ดินรายแปลงทั้งหมด 32 ล้านแปลง ให้ได้ครบซึ่งต้องทำควบคู่ไปกับการจัดทำแผนที่ดิจิตอลของกรมที่ดินและหากแผนที่ดิจิตอลสมบูรณ์เชื่อว่าการประเมินที่ดิน 25 ล้านแปลงทั่วประเทศจะทำได้แล้วเสร็จภายในเวลาที่กำหนด เพราะปัจจุบันกรมฯได้ดำเนินการประเมินที่ดินรายแปลงแล้วเสร็จเพียง 8 ล้านแปลงเท่านั้น
ยุบรวมภาษีสรรพสามิต
ด้านกรมสรรพสามิต เตรียมแก้กฎหมายครั้งใหญ่ยุบรวมกฎหมาย 7 ฉบับเหลือฉบับเดียวถือว่าเป็นการปรับปรุงกฎหมายที่ทำได้ยากในรัฐบาลปกติที่มาจากการเลือกตั้ง เนื่องจากเกี่ยวข้องกับหลายอุตสาหกรรม แต่การแก้กฎหมายในครั้งนี้จะทำให้การจัดเก็บเป็นมาตรฐานเดียวกันหมดในสินค้าทุกประเภท หรือเรียกว่าร่างประมวลกฎหมายภาษีสรรพสามิตเพื่อการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตในสินค้าต่าง ๆ มีความเป็นธรรม โปร่งใสและเป็นไปตามหลักมาตรฐานสากล
สาระสำคัญของการแก้ไขกฎหมายคือ การปรับเปลี่ยนฐานในการคำนวณภาษีสรรพสามิตจากปัจจุบันที่คำนวณภาษีจากราคาหน้าโรงงานสำหรับทุกสินค้าแต่กฎหมายใหม่จะทบทวนให้คำนวณภาษีจากราคาขายปลีกแนะนำสำหรับทุกสินค้า สาเหตุที่สรรพสามิตต้องปรับเปลี่ยนฐานในการคำนวณภาษีนั้นเนื่องจากที่ผ่านมาผู้ประกอบการมักจะแจ้งราคาสินค้า ณ ราคาหน้าโรงงานเพื่อใช้เป็นฐานในการคำนวณภาษีในอัตราต่ำ ขณะที่ราคาขายที่แท้จริงอยู่ในระดับที่สูงจึงเป็นสาเหตุสำคัญที่ต้องปรับปรุงฐานในการคำนวณภาษีแต่ยังมีการตั้งข้อสังเกตว่าการเปลี่ยนฐานการคำนวณดังกล่าวผลสุดท้ายประชาชนจะต้องแบกรับภาระภาษีที่เพิ่มขึ้นจากราคาสินค้าที่ปรับราคานั่นเอง
แก้กฎหมาย 11 ฉบับ
ขณะที่กรมสรรพากร จะแก้ไขกฎหมายรวม 11 ฉบับ เช่น ภาษีมูลค่าเพิ่มยกเลิกการเสียภาษีในรูปคณะบุคคล ภาษีบุคคลธรรมดา ภาษีนิติบุคคล การให้สิทธิประโยชน์ในการตั้งสำนักงานภูมิภาคการเดินหน้าอนุสัญญาภาษีซ้อนและการแก้ไขมาตรฐานทางบัญชีใหม่ เป็นต้น โดยเรื่องสำคัญของการแก้ไขกฎหมายยังมีเรื่องการลดอัตราภาษีนิติบุคคลให้เหลือ 20% ให้เป็นการถาวรเพื่อจูงใจและส่งเสริมการลงทุนให้กับผู้ประกอบการเอกชนและการลดภาษีบุคคลธรรมดาจากอัตราก้าวหน้า 5 อัตราเป็น 7 อัตราจากอัตราสูงสุด 37% เป็น 35% ให้เป็นการถาวรจะช่วยให้ภาคเอกชนและประชาชนมนุษย์เงินเดือนเข้าสู่ระบบการเสียภาษีเป็นจำนวนมาก
นอกจากนี้ยังมีร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร(ฉบับที่..) พ.ศ.....ที่เกี่ยวกับมาตรการปรับปรุงการจัดเก็บภาษีเงินได้ห้างหุ้นส่วนสามัญและคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคลที่ผ่าน สนช. วาระแรกไปแล้ว ซึ่งสามารถรีดภาษีและอุดช่องโหว่จากประชาชนทำอาชีพอิสระ ได้แก่ นักแสดง นักจัดรายการ แพทย์ ทนายความ เป็นต้นที่จดทะเบียนห้างหุ้นส่วนสามัญและคณะบุคคล เพื่อกระจายฐานภาษีให้การเสียภาษีบุคคลธรรมดาในอัตราแบบก้าวหน้าน้อยลง เชื่อว่าหากกฎหมายดังกล่าวมีผลบังคับใช้แล้ว จะทำให้รัฐบาลจัดเก็บภาษีตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.–31 ธ.ค. 58 ทันที ทำให้รัฐบาลจัดเก็บภาษีได้เพิ่มขึ้นปีละ 9,000 ล้านบาท
คาดขึ้นภาษีแวต 1%
ขณะเดียวกันช่วงปลายปีงบประมาณ 58 กระทรวงการคลังจะพิจารณาปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) ที่ขณะนี้ลดอัตราการจัดเก็บจาก 10% เหลือ 7% ไปจนถึงวันที่ 30 ก.ย. 58 เบื้องต้นคาดขึ้นเพียง 1% ซึ่งจะทำให้การจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลเพิ่มขึ้นโดยจากการประเมินของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง การเพิ่มแวต 1% จะทำให้รัฐบาลเก็บรายได้เพิ่มขึ้นปีละ 60,000-70,000 ล้านบาท แต่การขึ้นแวตคงต้องคิดกันอย่างรอบคอบแม้จะเป็นภาษีที่สามารถรีดเงินจากประชาชนทุกรายก็ตาม แต่ภาระที่ประชาชนต้องเข้ามาแบกรับก็เพิ่มขึ้นซึ่งอาจทำให้ผู้ประกอบการเอกชนฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้าได้อีกด้วย
รื้อก.ม. กรมศุลกากร
ส่วนกรมศุลกากร จะแก้ไขกฎหมายกว่า 20 ประเด็น ที่เป็นความต้องการของผู้ประกอบการ ทั้งการแก้เรื่องรางวัลสินบนนำจับและการลดโทษความผิดกรณีผู้ประกอบการที่ถูกฟ้องว่านำเข้าไม่ถูกต้องเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการป้องกันและลดการทุจริตของเจ้าหน้าที่และผู้ประกอบการ คาดว่ากระทรวงการคลังจะเสนอให้ ครม. เห็นชอบภายในปี 57 และให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณาได้ในต้นปีหน้าทำให้กฎหมายออกมีผลบังคับใช้ได้ภายในกลางปีจะเป็นประโยชน์กับประเทศทั้งด้านการค้าขายของประเทศและการแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นที่เป็นนโยบายที่รัฐบาลให้ความสำคัญ
สำหรับการแก้ไขกฎหมายประกอบด้วยการแก้ไขรางวัลสินบนนำจับให้ลดลงจากปัจจุบันสินบนได้ 30% กับผู้แจ้งเบาะแสและรางวัล 25% ให้กับเจ้าหน้าที่โดยไม่กำหนดเพดาน แต่ได้แก้ไขเป็นสินบน 30% แต่ไม่เกิน 10 ล้านบาท ส่วนรางวัลลดเหลือ 15% แต่ไม่เกิน 5 ล้านบาท ซึ่งการมีสินบนรางวัลนำจับยังมีความจำเป็นต้องมีอยู่เพราะผู้แจ้งเบาะแสมีความเสี่ยงและเจ้าหน้าที่ยังต้องการกำลังใจในการทำงานและยังแก้กฎหมายเรื่องบทลงโทษใหม่เพื่อศาลใช้ดุลพินิจในการลงโทษตามความหนักเบาของความผิดกรณี ลักลอบ มีโทษปรับ 0.5-4 เท่าของราคารวมอากร โทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี กรณีหลีกเลี่ยงโทษปรับ 0.5-4 เท่าของราคาหรืออากรที่ขาดไปโทษจำคุก 3 เดือน ถึง 10 ปีและการหลีกเลี่ยงข้อห้ามกำกับปรับไม่เกิน 1 ล้านบาท โทษจำคุก 3 เดือนถึง 10 ปี
นอกจากนี้ยังไม่นับรวมภาษีถูกนำมาถกเถียงในที่ประชุมครม.จากข้อเสนอของหน่วยงานต่าง ๆ อีกจำนวนมาก ทั้งข้อเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่ปรับอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลจาก 0.75 เพิ่มเป็น 3.25 บาทต่อลิตร
ทำให้มีเงินภาษีนำส่งเข้าคลังประมาณ 6,000 ล้านบาทต่อเดือน หรือ 72,000 ล้านบาทต่อปี หรือการเก็บภาษีโรงเรียนกวดวิชาที่เริ่มจัดเก็บได้ในปี 58 คาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นอีกหลายพันล้านบาท โดยปัจจุบันมีโรงเรียนกวดวิชากว่า 10,000 แห่งทั่วประเทศที่เข้าข่ายต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล และภาษีแวตจากปัจจุบันที่ไม่ต้องเสียภาษี เพราะได้รับการยกเว้น เป็นที่รู้กันว่าการปรับขึ้นภาษีเป็นเรื่องยากไม่มีรัฐบาลไหนกล้าทำเพราะจะมีผลต่อคะแนนนิยม แต่รัฐบาลนี้ยอมกรีดเลือด
ตัวเองเพื่อให้ได้ส่วนต่างของภาษีมาใช้ลงทุนในโครงการต่าง ๆ ที่วางแผนไว้และที่สำคัญโครงการเหล่านั้นก็เพื่อเป็นการพัฒนาประเทศที่ต่างก็เรียกร้องอยากให้มีความสะดวกสบายเมื่อถึงเวลานั้นประชาชนจะบ่นเสียงระงมเพียงใดก็ต้องก้มหน้าเสียภาษีแต่โดยดี.
วุฒิชัย มั่งคั่ง
9Zean.Com - WiFiNews
ขอบคุณที่มาของข่าวโดยdailynews.co.th
เวลาโพส2015-03-06 05:24:03
เวลาโพส2015-03-06 05:24:03
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น